การเจริญงอกงามของพืชน้ำได้ดีและรวดเร็ว
เมื่อพืชน้ำตาย
จุลินทรีย์ในน้ำจะต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมากในการย่อยสลายซากพืชเหล่านั้นเป็นเหตุให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง
จึงทำให้เกิดน้ำเน่าเสีย สารเคมีและวัตถุดิบมีพิษที่ใช้ในการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตในการเพาะปลูก
สารกำจัดแมลงและกำจัดวัชพืช เช่น สารประกอบไนไตรต์และไนเตรต
สารประกอบคลอริเนเตดไฮโดรคาร์บอน ออร์แกโนฟอสเฟต คาร์บาเมต
เมื่อตกค้างอยู่ในอากาศหรือดินก็จะถูกน้ำชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ
ทำให้แหล่งน้ำในบริเวณเกษตรกรรม หรือสายน้ำที่ไหลผ่านมีสารพิษสะสมหรือปะปนอยู่
การจับสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำในบริเวณนั้นมาบริโภคก็จะมีโอกาสได้รับพิษจากสารดังกล่าวด้วย
น้ำมันเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำเมื่อน้ำมันรั่วไหลลงสู่ทะเลหรือแม่น้ำลำคลองจะเกิดคราบน้ำมันลอยอยู่ที่ผิวน้ำ
คราบน้ำมันจะเป็นแผ่นฟิล์มปกคลุมผิวน้ำทำให้ออกซิเจนในอากาศไม่สามารถละลายลงไปในน้ำได้
ทำให้น้ำขาดออกซิเจน สัตว์น้ำที่อยู่ในแหล่งน้ำบริเวณนั้นๆ อาจตายได้
ตามปกติน้ำในธรรมชาติจะมีออกซิเจนละลายอยู่ประมาณ 5 – 7 ส่วนในล้านส่วน
ปริมาณออกซิเจนในน้ำ หรือ DO (Dissolved Oxygen) จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์น้ำการบ่งชี้คุณภาพน้ำอาจทำได้
เช่น
ก.
หาปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ต้องใช้ไปในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำ เรียกว่า
ค่า BOD
(Biochemical Oxygen Demand) ซึ่งจะบอกถึงปริมาณจุลินทรีย์ที่ต้องใช้ออกซิเจนในน้ำ
ข. หาปริมาณความต้องการออกซิเจนของสารเคมีที่อยู่ในน้ำ
เรียกว่า ค่า CDO (Chemical Oxygen Demand)
ซึ่งจะบอกถึงปริมาณของสารเคมีที่สามารถทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในน้ำ
มลภาวะทางดิน
ดินเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งของสิ่งมีชีวิต
จึงจำเป็นต้องรักษาดินให้ใช้ประโยชน์ได้นานที่สุด
การกำจัดสารพิษด้วยวิธีการฝังดินรวมทั้งการกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลต่างๆ
โดยการทิ้งบนดิน จะเป็นสาเหตุทำให้ดินมีสภาพไม่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก
และก่อให้เกิดภาวะมลพิษทางดิน ปุ๋ยเคมีและสารเคมีที่ใช้ปราบศัตรูพืชก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะมลพิษทางดินได้
เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ยางรถยนต์ พลาสติก บรรจุภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สลายตัวยาก มีความทนทานต่อน้ำแสงแดด และอากาศ
จึงตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมทั้งในดินและน้ำ นักวิทยาศาสตร์จึงคิดค้นวิธีกำจัดพลาสติกที่ใช้แล้ว
รวมทั้งค้นคว้าเพื่อสังเคราะห์พลาสติกชนิดใหม่ๆ
ที่สามารถใช้งานได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะเสื่อมสลายไป
หรือสังเคราะห์พลาสติกที่จุลินทรีย์สามารถย่อยสลายได้
ในปัจจุบันมีวิธีกำจัดพลาสติกที่ใช้แล้วหลายวิธีดังนี้
ก. ใช้ปฏิกิริยาชีวเคมี เนื่องจากพลาสติกส่วนใหญ่มีความทนทานต่อการย่อยสลายของเอนไซม์จากจุลินทรีย์นักวิทยาศาสตร์จึงได้คิดค้นพลาสติกที่มีโครงสร้างทางเคมีที่สามารถถูกทำลายได้ด้วยเอนไซม์ของจุลินทรีย์พวกแบคทีเรียและเชื้อรา
ตัวอย่างเช่น เซลลูโลสซานเทค และเซลลูโลสแอซีเตต หรือการผสมแป้งข้าวโพดในพอลิเอทิลีนแล้วนำมาผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์
ข. ใช้สมบัติการละลายในน้ำ พลาสติกบางชนิด เช่น
พอลิไวนิลแอลกอฮอล์สามารถละลายในน้ำได้เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีความชื้นสูง
หรืออยู่ในน้ำซึ่งเป็นตัวทำละลายในธรรมชาติ
เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นพลาสติกจะละลายได้เพิ่มขึ้น
ค. ใช้แสงแดด นักเคมีชาวแคนาดาพบว่าการเติมหมู่ฟังก์ชันที่ไวต่อแสงอัลตราไวโอเลตเข้าไปในโซ่พอลิเมอร์
เมื่อพลาสติกถูกแสงแดดจะเกิดสารที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศทำให้พลาสติกเสื่อมคุณสมบัติ
เปราะแตก และหักง่าย
ง. ใช้ความร้อน พลาสติกพวกที่เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
เมื่อได้รับความร้อนถึงระดับหนึ่งจะสลายตัวเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก
ในที่สุดจะได้คาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำหรือสารอื่นซึ่งเป็นพิษปนออกมาด้วย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของพลาสติก เช่น พอลิเอทิลีนติดไฟง่าย
พอลิสไตรีนเผาไหม้ให้ควันดำและเขม่ามาก
ส่วนพอลิไวนิลคลอไรด์ติดไฟยากต้องให้ความร้อนตลอดเวลาและมีแก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์ซึ่งเป็นแก๊สพิษเกิดขึ้นด้วย
การเผาเป็นวิธีกำจัดพลาสติกที่รวดเร็ว
แต่มีข้อเสียคืออาจเกิดสารพิษที่ก่อให้เกิดภาวะมลพิษทางอากาศได้
จ. นำกลับมาใช้ใหม่ พลาสติกประเภทเทอร์มอพลาสติกสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
โดยล้างทำความสะอาดแล้วนำเข้าเครื่องตัดเป็นชิ้นเล็กก่อนเข้าเครื่องอัดเม็ดเม็ดพลาสติกที่ได้จะสามารถนำไปหลอมเป็นชิ้นงานได้อีก
เช่น นำไปใช้ทำโฟมกันกระแทกในการบรรจุผลิตภัณฑ์ ผสมในซีเมนต์เพื่อให้รับแรงกระแทก
ใช้ถมที่ดินชายฝั่งทะเลแล้วอัดให้แน่นเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย
หรืออาจนำมาอัดให้แน่นใช้ทำเป็นอิฐหรือวัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสมในแง่เศรษฐกิจและเป็นการสงวนทรัพยากร
นักเรียนได้ทราบปัญหาความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม
การเกิดภาวะมลพิษทั้งทางอากาศ น้ำ และดินอันเป็นผลจากการใช้และพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเชื้อเพลิง
ซากดึกดำบรรพ์ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า
เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกประเทศในโลกโดยเฉพาะกับประเทศอุตสาหกรรม
จากผลของการพัฒนาทางด้านสังคม เศรษฐกิจ
และอุตสาหกรรมเพื่อสนองความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้น
การป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือกันตั้งแต่ระดับท้องถิ่น
ประเทศและระดับโลก เนื่องจากปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่
จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกๆ
คนที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่ดี รวมทั้งการใช้เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างประหยัดและรู้คุณค่า
รวมทั้งแสวงหาแหล่งพลังงานทดแทน
เพื่อการดำรงชีวิตที่มีความสุขและปลอดภัยร่วมกันตลอดไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น